เรื่องเกี่ยวกับ Direct และ Indirect Speech เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำเอาหลายคนยังงงๆ กับการใช้อยู่ แต่รู้ไหมว่าถ้าเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็ เราจะสามารถเล่าเรื่อง ถ่ายทอด หรืออ้างอิงเรื่องราวต่างๆ ที่คนอื่นพูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นด้วยล่ะ ถ้าอย่างงั้นอย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักกับ Direct และ Indirect Speech กันดีกว่า
Direct Speech
Direct speech คือ การยกเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดซ้ำอีกครั้งแบบตรงๆ โดยไม่มีการต่อเติม หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประโยค โดยสิ่งที่พูดถึงอาจจะเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือจะเป็นการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังทีหลังก็ได้ ซึ่งในการเขียนประโยคภาษาอังกฤษเราจะใส่เครื่องหมายคำพูด หรือ เครื่องหมาย Quotation mark แบบนี้ “…..” เอาไว้ ตัวอย่างเช่น
John said, “I like biology.” หรือจะสลับตำแหน่งเป็น “I like biology,” John said
*ข้อสังเกต* หลังประโยคหลักที่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้พูดจะถูกคั่นด้วยเครื่องหมาย ( , ) comma เสมอและประโยคที่อยู่หลังเครื่องหมาย Quotation mark จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ แต่ถ้าสลับตำแหน่งกันแบบในตัวอย่างข้างต้น ตัวเครื่องหมาย comma จะมาอยู่ก่อนปิดเครื่องหมาย quotation mark แล้วจึงตามด้วยผู้พูด
Indirect Speech
Indirect Speech คือ อีกรูปแบบหนึ่งของการนำเรื่องไปเล่าต่อ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรูปประโยค ซึ่ง Indirect Speech สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Indirect speech – statement คือ การรายงานประโยคแบบบอกเล่าหรือปฏิเสธ
- Indirect speech – commands, requests and suggestions คือ การรายงานประโยคที่เป็นประโยคขอร้อง ประโยคคำสั่ง หรือ ขออนุญาต
- Indirect speech – question คือ การรายงานประโยคที่เป็นคำถาม
หลักการเปลี่ยน Indirect Speech
หลังจากทำความรู้จัก Direct Speech และ Indirect Speech แล้ว เรามาดูกันต่อดีกว่าหลักการเปลี่ยนประโยคคำพูดให้เป็น Indirect Speech นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เปลี่ยน Direct statement (ประโยคบอกเล่าหรือปฎิเสธ) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนในข้อนี้คือ ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เอาเครื่องหมายคำพูด Quotation mark ออก แล้วเติม that เข้าไปหลัง Reporting Verbs หรือจะใช้เป็นการเปลี่ยนคำระบุเวลาและสรรพนามให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น
She said, “I will submit my homework tomorrow.” (Direct speech)
She said she would submit her homework the following day. (Indirect speech)
เปลี่ยน Commands, requests and suggestions (คำสั่ง อนุญาต เสนอแนะ และขอร้อง) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนรูปประโยคในข้อนี้จะคล้ายกับ statement แต่จะต่างกันตรงที่มีการใช้กริยานำ อย่างคำว่า tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง) และ command/commanded (สั่ง) เข้ามา แล้วเปลี่ยนสรรพนามให้เหมาะสม และหากมีคำว่า Please ในประโยคก็ให้ตัดออกด้วย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Please let me go to the movie.” (Direct Speech)
He asked me to let her go to the movie. (Indirect Speech)
เปลี่ยน Direct Question (ประโยคคำถาม) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนประโยคำถามแบบ Yes/No Question ให้เป็น indirect speech ทำได้โดยการตัดดเครื่องหมาย ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เปลี่ยนกริยานำ Reporting Verb จาก say, said, told เป็น ask, asked (ถาม), inquire, inquired of (สอบถาม)
ส่วนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Verb to do, to have, to be, และกริยาช่วย (Auxiliary verbs) Will จะใช้ if, whether, whether…or not หรือ whether or not ในการเชื่อมประโยคแทน และจะไม่ใส่เครื่องหมาย ? ท้ายประโยค
และประโยคคำถามที่ขึ้นด้วย Wh-Questions อย่าง What, Where, When, Why, Who, Whom, Whose และ How สามารถใช้คำเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมประโยคได้เลย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Can I borrow your pen?” (Direct Speech)
He asked if he could borrow my pen (Indirect Speech)
Is he a doctor?(Direct Speech)
I don’t know if he is a doctor.. (Indirect Speech)
Who is she? (Direct Speech)
Do you know who she is? (Indirect Speech)