หลายคนที่พูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน อาจพบว่า การที่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ต่างๆเวลาอยู่ที่สนามบินต่างประเทศเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะหลายครั้งเราก็นึกคำศัพท์ไม่ออก หรือไม่รู้ว่าคำที่เราใช้ทับศัพท์จากภาษาอังกฤษอยู่นั้นเป็นคำที่เขาใช้พูดกันจริงๆหรือเปล่า วันนี้เราจะมาดูคำศัพท์และรูปประโยคที่ใช้บ่อยเวลาอยู่ที่สนามบิน เพื่อที่เราจะไม่เด๋ออีกในทริปต่อไป
1. เวลา check-in
เวลาที่เราจะเอาสัมภาระไปเช็คอินนั้น ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า check เฉยๆ เช่น
เจ้าหน้าที่: Are you checking any luggage? (เช็คอินกระเป๋าใบไหนบ้างคะ?)
คุณ: This one only. (อันนี้อันเดียวคะ)
ถ้าหากในกระเป๋ามีสิ่งของที่แตกหักได้ เราควรพูดว่า
คุณ: Please mark this bag as fragile. (ช่วยติดป้ายว่าข้างในมีของแตกได้ด้วยนะคะ)
เจ้าหน้าที่: Do you have any flammable materials or a power bank in your luggage? (ในกระเป๋ามีของไวไฟหรือพาวเวอร์แบงค์อยู่ไหมคะ?)
คุณ: No (ไม่มีค่ะ – ถ้ามีก็ต้องรีบเอาออกมาด่วนเลยนะจ๊ะ)
เวลาเลือกที่นั่ง เจ้าหน้าที่จะถามเราว่า
เจ้าหน้าที่: Would you like an aisle or a window seat? (อยากได้ที่นั่งริมทางเดินหรือริมหน้าต่างคะ)
คุณ: I prefer an aisle seat. (ขอที่นั่งริมทางเดินดีกว่าค่ะ)
หรือว่าถ้ามากันหลายคน
คุณ: We would like to sit together please. (ขอนั่งด้วยกันดีกว่าค่ะ)
พอเวลาได้ boarding pass แล้ว
เจ้าหน้าที่: Here’s your boarding pass. This is your boarding time and please proceed to gate 10. (อันนี้เป็น boarding pass นะคะ ส่วนตรงนี้คือเวลา boarding และกรุณาไปที่ gate 10 เพื่อขึ้นเครื่องค่ะ)
คุณ: Do you know where gate 10 is? Is it far?
เจ้าหน้าที่: After security, please turn left and keep following the signs. Gate 10 is quite far. You might need to spare 30 minutes to get to the gate if you also plan to shop in the Duty Free. (หลังจากที่เจอ security แล้ว ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เกท 10 นี้ไกลหน่อยนะ คุณอาจจะต้องเผื่อเวลาไว้ครึ่งชั่วโมงเพื่อเดิน ถ้าหากว่าคุณจะเข้าไปช็อปใน Duty Free ด้วยค่ะ)
2. เวลาผ่าน security
เวลานี้เราก็ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากต้องถอดสิ่งที่เป็นโลหะออกจากตัว รวมทั้งเสื้อตัวนอกหรือรองเท้า พร้อมเอาอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ออกจากกระเป๋า carry-on
เจ้าหน้าที่: Please empty your pockets and place your jacket and electronic devices in separate trays. (กรุณาเอาของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า และวางเสื้อตัวนอกและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ใส่ลงไปในถาดแยกกันนะคะ)
คุณ: Do I need to take off my shoes too? (ต้องถอดรองเท้าด้วยไหมคะ)
เจ้าหน้าที่: No. Please walk through the metal detector. (ไม่ต้องค่ะ เดินผ่านเครื่องตรวจโลหะเข้าไปได้เลย)
3. เวลาขึ้นเครื่อง
เมื่อใกล้ๆเวลาเครื่องออก อาจมีการประกาศหากเรายังไม่ไปถึง gate เช่น
เจ้าหน้าที่: This is the final call for flight BA10 to London. Please proceed to gate 10 immediately. (ประกาศครั้งสุดท้ายสำหรับเที่ยวบิน BA10 ที่กำลังจะเดินทางไปลอนดอน โปรดขึ้นเครื่องที่ทางออกหมายเลข 10 ด่วน)
เวลานี้เจ้าหน้าที่จะประกาศให้ผู้โดยสารทยอยขึ้นเครื่อง โดยอาจจะมีการประกาศตามลำดับเช่น
We are now inviting our first- and business-class passengers to board. (ขอเชิญผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจขึ้นเครื่องได้เลยค่ะ)
We are now inviting passengers with small children and passengers requiring special assistance to begin boarding. (ขอเชิญผู้โดยสารที่มากับเด็กเล็ก และผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษขึ้นเครื่องได้เลยค่ะ)
We are now inviting passengers seated in row 50 to 62 to begin boarding. (ขอเชิญผู้โดยสารแถวที่ 50 ถึง 62 ขึ้นเครื่องได้เลยค่ะ – คอยฟังแถวตัวเองดีๆและไปเมื่อเขาเรียกนะจ๊ะ)
4. ขณะอยู่บนเครื่อง
เมื่อขึ้นเครื่องแล้ว
เจ้าหน้าที่: Please secure your baggage in the overhead compartment or under the seat in front of you. (กรุณาเก็บกระเป๋าไว้บนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ หรือใต้ที่นั่งด้านหน้าของคุณด้วยค่ะ)
เรา: The compartment is full. Where can I put this? (ที่เก็บข้างบนที่นั่งเต็มแล้วค่ะ เก็บที่ไหนได้บ้างคะ?)
เจ้าหน้าที่: You can also put it here. (เก็บไว้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ)
เมื่อเครื่องออกแล้วและสัญญานรัดเข็มขัดดับลง เราอาจมีคำถามมากมายอื่นๆ เช่น
Are there more lavatories at the back of the aircraft? (ท้ายเครื่องบินมีห้องน้ำอีกไหมคะ?)
หรือเวลาแอร์มาถามเราว่าอยากจะรับน้ำอะไร
Can I have a glass of water please. (ขอน้ำเปล่าหนึ่งแก้วค่ะ)
หรือถ้าฟังไม่ชัดว่าเมนูอาหารมีอะไรบ้าง
Can you repeat that again please? (ช่วยพูดอีกรอบได้ไหมคะ)
หรือเวลามีอะไรเสียและต้องการอันใหม่
Can I have new headphones please? This one is broken. (ขอหูฟังอันใหม่ได้ไหมคะ อันนี้มันเสีย)
ได้อ่านตัวอย่างประโยคกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว หลายคนอาจเคยเดินผ่านขั้นตอนเหล่านี้ไปแบบเงียบกริบเพราะพูดไม่ถูก แต่ต่อจากนี้ไป เราสามารถลองสื่อสารหรือตั้งคำถามได้นะ เพราะนอกจากเราจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆเพิ่มแล้ว เรายังพัฒนาความกล้า และสามารถพูดภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจได้อีกด้วย แต่ที่สำคัญ อย่าลืม please ลงท้ายประโยคเสมอ! ถ้าไม่มีคำนี้ จะพูดเก่งแค่ไหน อาจจะไม่มีใครอยากทำอะไรให้ก็เป็นได้