เมื่อพูดถึง Punctuation หรือ เครื่องหมายวรรคตอน เราก็พอรู้กันคร่าวๆว่าเครื่องหมายเหล่านี้มี หน้าที่เพื่อให้การแบ่งวรรคตอนหรือประโยคในภาษาอังกฤษไม่สับสน หลายคนคุ้นเคยกับบางตัว แต่ไม่รู้วิธีใช้ทุกตัว วันนี้เราจะมาอธิบายว่าแต่ละตัวใช้อย่างไรบ้าง รับรองว่าอ่านจบแล้ว สามารถ เอาไปใช้พัฒนาการเขียนและทักษะภาษาอังกฤษได้แน่นอน
1. Full Stops (British English) หรือ Periods (American English)
เป็นเครื่องหมายที่เราคุ้นเคยกันที่สุด และน่าจะเป็นตัวแรกที่ทุกคนรู้จัก คือเอาไว้ใช้เวลาจบประโยคที่ไม่ใช้ เครื่องหมายคำถามหรือเครื่องหมายตกใจ ดังนั้น ทุกการขึ้นต้นประโยคใหม่หลัง Full Stop นั้น เราจะต้องใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ เช่น
We are discussing this issue. (เรากำลังถกปัญหา นี้กันอยู่)
นอกจากนี้ เรายังใช้ . สำหรับตัวย่ออีกด้วย เช่น
I have an appointment at 10 a.m. (ฉันมีนัดตอนสิบโมงเช้า)
2. Question Marks และ Exclamation Marks
Question Mark หรือเครื่องหมาย ? จะเอาไว้ใช้จบประโยคที่เราต้องการเขียน เพื่อให้รู้ว่าประโยค นี้เป็นประโยคคำถาม แทนตำแหน่งของ Full Stop เช่น
Do you really want to go there? (เธอต้องการไปที่นั่นจริงๆหรอ)
ในขณะที่ Exclamation Mark หรือเครื่องหมาย ! ใช้ในประโยคที่ไม่เป็นทางการมาก เพื่อเน้น การแสดงอารมณ์ที่รุนแรงมากกว่าปกติในประโยค ไม่ว่าจะเป็นตื่นเต้น ตกใจ แสดงถึงคำสั่งหรือ การตะโกน เช่น Don’t talk to me like that! (อย่ามาพูดแบบนั้นกับฉันนะ!)
3. Commas
Comma หรือ เครื่องหมาย , เอาไว้ใช้ในการแบ่งวลีหรือคำ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น เช่น
I love singing, dancing, and playing guitar. (ฉันชอบร้องเพลง เต้น และเล่นกีต้าร์)
หรือใช้ในการคั่นอนุประโยค (clauses) เช่น
If you were me, you would be upset too. (ถ้าเธอเป็นฉัน เธอก็ต้องกลุ้มเหมือนกันแหละ)
นอกจากนี้ ยังใช้เวลาเขียน non-defining relative clause ที่บอกถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่ไม่สำคัญ เช่น
The accident, which happened 5 minutes ago, was caused by that reckless driver.(อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่แล้ว เกิดขึ้นเพราะคนขับรถคนนั้นขับรถอย่างประมาท)
4. Colons
Colon หรือเครื่องหมาย : มีไว้เพื่อขยายความของประโยคที่เขียนก่อนหน้า เช่น
I know why I failed this test: lack of preparation. (ฉันรู้ว่าทำไมฉันถึงสอบตก เพราะไม่ได้เตรียมตัวมากพอ)
นอกจากนี้ ยังใช้ในการแสดงเวลาก็ได้ เช่น
The train leaves at 6:30 a.m. (รถไฟออกตอน หกโมงครึ่งในตอนเช้า) เป็นต้น
5. Apostrophes
Apostrophe หรือ เครื่องหมาย ’ ใช้เวลาลดรูปกริยาช่วยในภาษาอังกฤษ เช่น
did not เป็น didn’t
เช่น I didn’t mean to make you mad. หรือ
I will เป็น I’ll
เช่น I’ll handle this for you.
นอกจากนี้ ยังใช้เครื่องหมาย ’ ในการแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใส่ ’s เข้าไป เช่น
We will hang out at John’s place. (เราจะไปนั่งเล่นที่บ้านของจอห์น) หรือถ้ามี s เป็นตัวสะกดอยู่แล้ว ก็ใส่แค่ ’
เช่น The princess’ dress looks so gorgeous. (ชุดของเจ้าหญิงสวยมากเลย)
6. Semicolons
นับเป็นอันที่คนไม่ยอมใช้กันที่สุด เพราะหลายคนไม่รู้จะใช้ยังไง หน้าที่ของ Semicolons หรือ ; คือ การเชื่อมสองประโยคที่มีความเกี่ยวข้องกันมากๆเข้าด้วยกัน แทนที่จะใช้ Full Stop ก็ใช้ตัว นี้แทน เช่น
I don’t want to go back home now; the traffic is so bad. (ฉันไม่อยากกลับบ้าน ตอนนี้เลย เพราะรถมันติดเกินไป)
หรือใช้แทน Comma ในการเชื่อมวลีที่ซับซ้อนเข้าด้วยกันเพราะในวลีนั้นมี Comma อยู่แล้วเพื่อ ป้องกันความสับสน เช่น
I have two options for you; finish this before 2, and go to this meeting for me; or prepare yourself for this meeting, and drop everything you’re doing right now. (ฉันมีทางเลือกให้สองทาง: ทำนี่ให้เสร็จก่อนบ่ายสองแล้วเข้าประชุมแทนฉัน หรือ เตรียมตัวประชุมตั้งแต่ตอนนี้แล้วหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่)
7. Hyphens และ Dashes
สองตัวนี้หน้าตาคล้ายกัน โดย Hyphens จะใช้เวลาเชื่อมคำสองคำเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความ หมายใหม่ เช่น time-consuming ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ในพจนานุกรมว่าคำใดบ้างที่ต้องมี Hyphen คั่น
ในขณะที่ Dash จะใช้เวลาที่เราต้องการแยกคำ วลี ออกมาจากประโยค เพื่อให้ส่วน นั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยต้องเว้นวรรคหน้าหลัง dash ด้วย เช่น
She ignores all remarks – good or bad ones – which makes her seem like a self-righteous person. (เธอไม่สนใจข้อคิด เห็นใดๆเลย ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี และนั่นมันทำให้เธอดูเป็นคนมั่นใจว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว)
8. Quotation Marks
Quotation marks หรือเครื่องหมายคำพูด ซึ่งมีทั้งแบบ ‘เดี่ยว’ หรือแบบ “คู่” ในประเทศอังกฤษใช้ทั้งสองแบบ ในขณะที่ในอเมริกานิยมใช้แบบคู่ แต่ทั้งสองแบบสามารถปรากฏตัวร่วมกันได้ เช่น
Tommy asked, ‘Do you know where the “Tower Bridge” is?’ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องหมาย คำถามแบบเดี่ยวได้เพื่อแสดงการพูดประโยคคำถาม และใส่เครื่องหมายแบบคู่ไปในส่วน ที่ต้องการเน้น เป็นต้น
9. Brackets และ Parentheses
แปลเป็นภาษาไทยก็คือ วงเล็บ นั่นเอง ความแตกต่างก็คือ Brackets คือเครื่องหมาย […] แบบ เหลี่ยม ในขณะที่ Parentheses คือวงเล็บ (…) แบบที่เราคุ้นเคย เราใช้วงเล็บเพื่อเพิ่มเติมข้อมูล เข้าไปในประโยค ที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก และใช้ในการเขียนที่ไม่เป็นทางการ เช่น
She will fly to New York (with two stopovers) and will come back at the end of the month. (เธอจะ บินไปนิวยอร์ค (โดยต้องเปลี่ยนเครื่องสองรอบ) และจะกลับมาตอนสิ้นเดือน)
ส่วน Brackets มักใช้เวลาที่ผู้เขียนเขียนข้อมูลเติมลงไปนอกเหนือจากข้อมูลต้นฉบับ เช่น
The pedestrian said he [the robber] escaped through this small alley.
อ่านจบแล้ว เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะเข้าใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษตัวนี้เพิ่มขึ้นอีกพอตัวแล้วล่ะ ต่อจากนี้ไปเวลาเขียน เราสามารถฝึกใช้ Punctuations เหล่านี้ได้เพื่อให้งานเขียนของเรา ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราดูโปรขึ้นตามไปด้วย