สรุป Past Tense ภาษาอังกฤษทั้งหมด

สรุป Past Tense ภาษาอังกฤษทั้งหมด

หลายคนติดพูดภาษาอังกฤษด้วยการบอกเล่าทุกอย่างเป็น Present Tense อย่างเดียว เพราะว่าง่ายที่สุด แล้วก็เร็วดีด้วย แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสำคัญนะจ๊ะ เพราะถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษยิ่งๆขึ้นไปแล้วไวยากรณ์ไม่แข็งแรง บอกเลยว่าพัง ประหนึ่งอยากสร้างตึกสูงแต่ไม่มีโครงสร้างเหล็ก ดังนั้นวันนี้ เรามาดูกฎการใช้ Past Tense กัน ตั้งใจอ่านให้ดี!

Past Tense นั้นมีไว้ใช้อธิบายอดีต โดยเอาไว้อธิบายเรื่องที่จบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เลิกกับแฟน สอบตก เรียนจบ ได้งานทำ ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นเราต้องใช้ Past Tense หมด

 

วิธีการสร้างประโยค

สิ่งที่จะเปลี่ยนให้ทุกอย่างกลายเป็น Past Tense ก็คือ verb หรือคำกริยา โดยอาจมีคำบอกเวลามาช่วยเพื่อบอกให้รู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไร

1. verb to be เป็นคำเดียวที่ปลี่ยนเป็นสองรูป คือ was กับ were ขึ้นอยู่กับประธาน
– I, he, she, it ใช้ was เช่น I was at the super market yesterday after work. (เมื่อวานหลังเลิกกงานฉันอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต)
– You, we, they ใช้ were เช่น They were still at the office when I left. (พวกเขายังอยู่ที่ออฟฟิศอยู่เลยตอนฉันกลับ)

 

2. ถ้าเป็น regular verb เราสามารถเติม -ed ได้เลย  เช่น
– Talk เป็น Talked เช่น I talked to him this morning. (ฉันคุยกับเขาเมื่อเช้า)
– Ask เป็น Asked เช่น He asked me why I left early. (เขาถามฉันว่าทำไมฉันกลับเร็ว)

 

3. ถ้าคำกริยาลงท้ายด้วย e ให้เติม d ไปเลย
– Move เป็น Moved เช่น She moved out of her flat last week. (เธอย้ายออกจากแฟลตเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว)
– Smile เป็น Smiled  เช่น A man smiled at me on a train and it felt so awkward. (มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้ฉันบนรถไฟและฉันก็รู้สึกประหลาดมากๆ)

 

4. ถ้าเป็นคำกริยาลงท้ายด้วย y แต่ข้างหน้า y เป็นสระให้เติม -ed ได้เลย

สระภาษาอังกฤษคือ a, e, i, o, u

– Stay เป็น Stayed เช่น They stayed in London for a week only. (พวกเขาพักอยู่ที่ลอนดอนเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น)
แต่ถ้าหากว่าหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เป็น y เป็น i แล้วเติม -ed
Worry เป็น Worried เช่น You worried me so much when you disappeared last night. (เธอทำให้ฉันเป็นห่วงมากนะตอนที่เธอหายตัวไปเมื่อคืน)

 

5. กริยาสั้นพยางค์เดียว ที่มีสระตัวเดียว ตามด้วยพยัญชนะตัวเดียว ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายซ้ำ
– Stop เป็น Stopped เช่น He stopped the car before it hit a tree. (เขาหยุดรถก่อนที่มันจะชนต้นไม้)
– Beg เป็น Begged เช่น She begged him not to leave but he ignored her completely. (เธอขอไม่ให้เขาไปแต่เขาไม่สนใจเธอเลย)

 

6. คำกริยาเปลี่ยนรูป หรือ irregular verb ที่มีการเปลี่ยนรูปไปเลย

– see เป็น saw เช่น I accidentally saw both of them kissing. (ฉันเห็นเขาสองคนจูบกันอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ)
– buy เป็น bought เช่น He bought a bag for his girlfriend as a present. (เขาซื้อกระเป๋าให้แฟนเป็นของขวัญ)

 

7. คำกริยาที่ไม่เปลี่ยนรูป
– cut คงเดิม เช่น I cut my finger when I was cooking. (ฉันทำมีดบาดตัวเองตอนกำลังทำอาหาร)
– put คงเดิม เช่น I put those snacks back to the shelf. (ฉันเอาขนมพวกนั้นกลับไปเก็บที่เดิม)

 

 

วิธีทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ

นอกจาก verb to be ที่ใช้ (I, he, she, it) was not และ (you, we, they) were not แล้ว นอกเหนือจากนั้นให้ใช้ did not (หรือ didn’t) ตามด้วย verb ช่องหนึ่ง
– I, he, she, it ใช้ was not (wasn’t) เช่น It wasn’t Jerry who told lies. (ไม่ใช่เจอร์รี่หรอกที่พูดโกหกน่ะ)
– You, we, they ใช้ were not (weren’t) เช่น You weren’t there when I needed you. (เธอไม่ได้อยู่กับฉันเวลาที่ฉันต้องการเธอ)
– กริยาทั่วไป เช่น I didn’t meet him at the end. (สุดท้ายแล้วฉันไม่ได้เจอเขาหรอก)

 

วิธีสร้างประโยคคำถาม

1. เอา did ไว้หน้าสุด + ประธาน + verb ช่องหนึ่ง เสมอ
– Did you find the documents you were looking for? (เธอเจอเอกสารที่หาอยู่หรือเปล่า)

2. ถ้าขึ้นต้นด้วย who, what, where, when, why ให้เอาพวกนี้ขึ้นก่อน แล้วตามด้วย did + ประธาน + verb ช่องหนึ่ง เสมอ
– When did you start working here? (เธอเริ่มทำงานที่นี่เมื่อไรหรอ)

3. ถ้าเป็นคำถาม verb to be ให้ใช้ Was หรือ Were ขึ้นต้น

– Were you here last summer? (ฤดูร้อนที่แล้วเธออยู่ที่นี่หรือเปล่า)

4. ถ้าอยากถามเป็นประโยคปฎิเสธล่ะก็ ง่ายๆเลยก็คือใช้วิธีย่อรูป verb แล้วทำตามกฎเดิม เช่น
– Wasn’t I the only one excluded in that meeting? (ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ไม่ต้องเข้าประชุมครั้งนั้นหรอ)
– Didn’t you find the documents you were looking for? (เธอไม่ได้เจอเอกสารที่เธอหาอยู่แล้วหรอ?)
หรือถ้าอยากจะไม่ย่อรูป ก็เอา not ไปใส่ไว้หน้า verb ก็ได้ไม่ว่ากัน เช่น
– Did you not hear what I said? (เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรอ)

 

เทคนิคภาษาอังกฤษที่ทำให้การพูดภาษาอังกฤษของคุณมีความหลากหลายมากขึ้น แต่ถ้าใครที่อยากเก่งด้านนี้ และอยากพูดภาษาอังกฤษโดยอยากใช้สำนวนได้ได้เหมือนคนต่างชาติ ไม่ต้องไปหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ไหนไกล มาหาเราสิ!

ลงทะเบียนทดลองเรียนภาษาอังกฤษฟรี 1 ครั้ง ที่วอลล์สตรีท อิงลิช สาขาใกล้บ้านคุณ ด่วน! สิทธิ์มีจำนวนจำกัด



Related posts

Share via
Copy link
Powered by Social Snap